ความหมายของ คำนาม Noun ในภาษาอังกฤษ

ความหมายของ คำนาม Noun ในภาษาอังกฤษ คำนาม หรือ NOUN ในภาษาอังกฤษ   คือคำที่ใช้เป็นแทนของ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่  แบ่งออกได้  5  ชนิดคือ

 

หมวดหมู่ของคำนาม  Noun

 

  1. 1. Common Noun     สามานยนาม 

             ได้แก่นามที่เป็นชื่อไม่ชี้เฉพาะของ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่  เช่น   man,  dog,  pen,  school ….

  1. 2. Proper  Noun    วิสามานยนาม 

        ได้แก่นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่  และจะต้องเขียนด้วยตัวใหญ่เสมอ  เช่น   Ladda,  Dang,  Diccky,  Toyota,  Thailand …

  1. 3. Collective Noun 

สมุหนาม  ได้แก่นามที่เป็นชื่อของหมู่คณะ, กลุ่ม, ฝูง, เป็นต้น  ส่วนมากมัก จะเป็นคำผสมที่ครั่นด้วย of เสมอ  และสมุหนามนี้ต้องถือว่าเป็นนามพหูพจน์ตลอดไป  ดังนั้นกิริยาจึงต้องใช้ให้เป็นพหูพจน์ด้วย (อนึ่งบางคำอาจเป็นคำคำเดียวก็ได้ไม่จำเป็นต้องมี of  และถ้าสมุหนามนี้มาทำหน้าที่เป็นประธานแล้วหมายถึงหน่วยเดียวก็ใช้กิริยาเป็นเอกพจน์  แต่ถ้าหมายถึงแยกเป็นแต่ละบุคคลที่มีอยู่หลายคน ถือว่าสมุหนามนั้นเป็นพหูพจน์  ต้องใช้กิริยาให้เป็นพหูพจน์ด้วย)

  1. 4. Material  Noun  วัตถุนาม 

ได้แก่นามที่เป็นชื่อของเนื้อวัตถุ  ซึ่งส่วนมากก็ได้แก่นามที่เป็นของเหลว, แร่, ธาตุ,โลหะ แต่นามบางชนิดเมื่อยังไม่แยกก็จัดเป็น  common Noun   แต่เมื่อแยกแล้วจะมาเป็น   Material Noun   เช่น   cow,  ox, วัวมาแบ่งเป็น  beef   เนื้อวัว….                                                                               

  1. 5. Abstract  Noun   อาการนาม

 ได้แก่นามที่เป็นชื่อของลักษณะ, สภาวะ,  และการกระทำ  นามจำพวกนี้ไม่มีตัวตน  เป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้น มีสำเนียงแปลว่า การ หรือ ความ  ขึ้นต้น เช่น happiness  ความสุข,  Slavery  ความเป็นทาส ,  eating  การกิน เป็นต้น           

 

 

      หน้าที่ของคำนาม Noun

 

               นามทั้ง   5   ชนิดที่กล่าวมานั้น เวลานำไปประกอบเป็นประโยค สามารถทำหน้าที่ได้  7  อย่างคือ

 

  1. 1. เป็น Subject ของกิริยาในประโยคได้.
  1. 2. เป็น Object ของกิริยาในประโยคได้.
  1. 3. เป็น Object ของ    Preposition    (บุรพบท) ได้.
  1. 4. เป็น Complement คือส่วนสมบูรณ์ของกิริยาได้.
  1. 5. เป็น Appositive  คือเป็นนามซ้อนนามได้.
  1. 6. เป็น Address คือเป็นนามเรียกขานได้(และต้องใส่  , Comma ด้วย).
  1. 7. เป็น Possessive คือเป็นนามแสดงความเป็นเจ้าของได้ (และต้องใส่ Apostrophe’s ด้วย)

 

 

ลักษณะ พจน์ หรือ จำนวนของคำนาม

 

คำนามจะมี การ แบ่งออกเป็น คำนามที่นับไม่ได้ และ คำนามที่นับได้ โดย คำนามที่นับได้ จะแบ่งออกเป็น  เอกพจน์ (มีหนึ่งเดียว ชิ้นเดียว อันเดียว คนเดียว เล่มเดียว) และ พหูพจน์ (มีหลายคน หลายเล่ม หลายอัน หลายชิ้น)  โดย คำนามเหล่านี้ จะเปลี่ยนรูป จาก เอกพจน์  เป็นพหูพจน์ ได้โดยการเต็ม s ต่อท้ายคำ

  1. 1. ถ้าท้ายศัพท์นั้นไม่เติม  S  ให้ถือว่าเป็นเอกพจน์  เช่น   a  book ,   a cat  …  etc.
  1. 2.    ถ้าท้ายศัพท์นั้นเติม  S   ให้ถือว่าเป็นพหูพจน์  เช่น  Books,     cats ….   etc.  (ถ้าตัวสะกด ลงท้าย เป็น สระ คำนาม นั้นจะใช้ es ในการเติมต่อท้าย)

                ** คำนาม บางคำ จะมีลักษณะพิเศษ สามารถเปลี่ยนรูป หรือไม่เปลี่ยน รูป

 

การแบ่งเพศ ของคำนาม Noun

 

คำนามยังมี ลักษณะ การแบ่งแยก ตามเพศ  เรียกว่า เพศของคำนาม

 

  นามในภาษาอังกฤษทั้ง 5  ชนิด   เมื่อจำแนกออกเป็นเพศแล้วจะมีอยู่   4  เพศ  คือ

 

  1. 1. Masculine    Gender   เพศชาย    เช่น  boy,  man….etc.
  1. 2. Feminine     Gender    เพศหญิง  เช่น   girl,  woman …etc.
  1. 3. Common    Gender   เพศรวม  เช่น Teacher,  Student…etc.
  1. 4. Nature     Gender    ไม่มีเพศ  เช่น   pen,  desk…etc.