Web3 คืออะไร และความเป็นมาของ Web 1.0, Web 2.0 & Web3

สรุป ความหมาย ความสำคัญของ Web 1.0, Web 2.0 & Web3

สรุป ความหมาย ความสำคัญของ Web 1.0, Web 2.0 & Web3  เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าเว็บมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในฐานะผู้บริโภคและในฐานะนักพัฒนา ด้วยความก้าวหน้าในเว็บ การผลิตเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่น่าสนใจไม่เคยง่ายอย่างนี้มาก่อน

เมื่อโลก อินเตอร์เน็ท กำลังก้าวเข้าสู่ ยุค Web3

เพื่อให้เรา สามารถก้าวทัน เทคโนโลยี่ยุคใหม่ และ สามารถ เข้าสู่ ตลาดการลงทุน ซื้อชาย ใน ธุรกิจ สกุลเงินดิจิทัล หรือ  คริปโตเคอร์เร็นซี่ เราควรให้ความสนใจ ใน เรื่องของ ยุคของ  Web 3.0 ว่ามันคืออะไร กันดีกว่า 

 

ยุคสมัยของ Worldwideweb

 

Web 1.0 Beta คือ

คือจุดกำเนิด ของ ระบบเว็บไซด์ ระบบออนไลน์ในปัจจุบัน ในยุคเริ่มแรกเป็นเรื่องของ Hypertext  โดยแนวคิด ของ ไฮเปอร์เท็กซ์ ข้อความที่ลิงค์ไปยัง อีก ที่หนึ่ง นั้น เกิดขึ้นมาก่อน เว็บไซด์ นานมาแล้ว แต่ว่า ยังคงเป็น การเชื่อมต่อกันในแบบ Local Files หรือ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใด เครื่องหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถเชื่อมโยง ออนไลน์ ผ่านโลกอินเตอร์เน็ทได้ นั่นเอง 

Tim Berners-Lee ต้องการพัฒนาระบบที่สามารถทำงานข้ามเครือข่ายได้ ซึ่งช่วยให้บุคคลสามารถเชื่อมโยงจากไฟล์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งไปยังอีกไฟล์หนึ่งได้

ดังนั้นในช่วง เดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1990 เขาจึงได้เขียนโค้ดแอปฯ ด้วย Objective-C สำหรับระบบคอมพิวเตอร์ โดยได้รับการพัฒนาบนเครื่อง NeXT ที่ The European Organisation for Nuclear Research (รู้จักกันในชื่อ CERN) นอกเมืองเจนีวา โปรแกรม ของเขา Tim Berners-Lee ได้ตั้งชื่อมันว่าเวิลด์ไวด์เว็บ World Wid Web จนเป็นที่มาของ www. ในปัจจุบัน 

 

Web 1.0 คืออะไร

Web 1.0 เป็นขั้นตอนแรกของการปฏิวัติเวิลด์ไวด์เว็บ ซึ่งปกติจะเรียกว่าเว็บแบบอ่านอย่างเดียว เว็บไซต์ให้ข้อมูลและมีเพียงเนื้อหาคงที่ที่เชื่อมโยงหลายมิติเข้าด้วยกัน หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่มี CSS ลิงก์แบบไดนามิก การโต้ตอบ เช่น การเข้าสู่ระบบของผู้ใช้ (Loggin User) ความคิดเห็น Comment ในโพสต์บล็อก เป็นต้น


เว็บไซต์ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ Server Side Included หรือ Common Gateway Interface (CGI) แทนเว็บแอปพลิเคชันที่เขียนด้วยภาษาการเขียนโปรแกรมแบบไดนามิก เช่น Perl, PHP, Python หรือ Ruby

ในยุคของ Web 1.0 เช่น ตั้งแต่ปี 1991 ถึง 2004 ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นผู้บริโภคเนื้อหาที่สร้างโดยผู้สร้างเนื้อหา

 

Web 2.0  Read write web ยุคเริ่มต้นแห่ง Social 

Web 2 เริ่มต้นในช่วงปี 2004 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ความแตกต่างง่ายๆของ Web 2 กับ Web 1 คือ Web 2 เริ่มมีการ Interactive หรือ โต้ตอบ กับ ผู้ใช้งานมากขึ้น ผู้ใช้ สามารถเขียนบล็อก คอมเม็น Loggin เข้าสู่ระบบ  ซึ่งเรียกได้ ว่า read-write web นั่นเอง 

โดยเน้นไปที่เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น การใช้งานง่าย วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม และการทำงานร่วมกัน

แพลตฟอร์มรุ่นแรกๆ ที่ใช้เว็บ 2.0 ได้แก่ YouTube, Facebook, Amazon และอื่นๆ เนื่องจากเทคโนโลยี CMS เช่น WordPress, Joomla, Blogger การสร้างร้านอีคอมเมิร์ซจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก

 

แต่ Web 2.0 นั่น มีข้อเสียใหญ่ที่สำคัญ คือ User จะส่งคำขอ HTTP  ไปยัง Server ของเว็บไซด์ และหากทุกอย่างถูกต้องก็จะส่งหน้าเว็บนั้นกลับมาเป็นการตอบกลับ

ข้อบกพร่องที่สำคัญที่นี่คือข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ซึ่งควบคุมโดยบริษัทต่างๆข้อบกพร่องที่สำคัญที่นี่คือข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ซึ่งควบคุมโดยบริษัทต่างๆ

Facebook, Google และ Twitter เริ่มจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ของตน เพื่อให้พวกเขาสามารถให้บริการเนื้อหาที่ดีขึ้นผ่านการเรียนรู้ของเครื่อง ซึ่งจะทำให้เราอยู่ในเว็บไซต์ของตนนานขึ้น ดังนั้นจึงเพิ่มรายได้จากโฆษณาให้กับบริษัทเหล่านี้

ในที่สุดบริษัทต่างๆ ก็เริ่มขายข้อมูลของเราให้กับผู้โฆษณา ซึ่งหมายถึงเงินที่มากขึ้นสำหรับพวกเขา!  แต่ ความเป็นส่วนตัวของพวกเราเริ่มหมดไป 

 

Web 3.0 คืออะไร

 จากปัญหาใหญ่ของ Web 2.0 ในเรื่องความปลอดภัย ทางด้าน่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ในหลายๆด้าน ได้ถูกนำมาขายทอดตลาด และถูกใช้ ไปกับ การตลาดหลากหลายรูปแบบ ที่เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว รวมไปถึง เรื่องความปลอดภัย ทางการเงิน อีกด้วย ทำให้ มีแนวความคิดในการพัฒนา เว็บ 3.0 ขึ้นมา 

แนวคิดของ web3 มีเป้าหมายเพื่อสร้างอินเทอร์เน็ตที่มีการกระจายอำนาจแต่ปลอดภัย ซึ่งผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนเงินและข้อมูลได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้พ่อค้าคนกลางหรือบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

 

ไม่เหมือนกับ Web 2.0 ที่ข้อมูลถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลเดียวหรือบนผู้ให้บริการคลาวด์ แอปพลิเคชัน Web 3 ทำงานบนบล็อคเชน Blockchain โหนดเพียร์ทูเพียร์ (เซิร์ฟเวอร์)

ตรงกันข้ามกับ web 2.0 ที่คุณเป็นผลิตภัณฑ์ บางคนคาดการณ์ว่าใน web3 คุณจะเป็นเจ้าของเนื้อหา

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญของ web3 กล่าวว่า บริษัทจะดำเนินการโดยกลุ่มกระจายอำนาจที่รู้จักกันในชื่อ DAO (Decentralized Autonomous Organisation) โดยขจัดความจำเป็นของ CEO และผู้บริหารระดับสูงในบริษัท

เนื่องจากตัวตนดิจิทัลของคุณไม่ได้ผูกติดอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของคุณในเว็บ3 คุณจึงสามารถปกปิดตัวตนบนอินเทอร์เน็ตได้ในขณะที่ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ

ตัวอย่างของแอปพลิเคชัน web3 คือ Obsidian สำหรับ Whatsapp, Odyessy, LBRY สำหรับ YouTube เป็นต้น

 

บทสรุป ของ Web3

แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ Web3 ยังคงอยู่ในช่วยระหว่างการพัฒนา ในปัจจุบัน นี้ในปี 2022 เราจึง ยังคงอยู่ ในยุค ของ Web 2.0 หลายคน ยังเชื่อว่า Web 3.0 เป็นแนวคิดที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นเรื่องการ หลอกลวง ของ เหล่า นักลงทุน สกุลเงินดิจิทัล blockchain และ cryptocurrency 

 

 

 เรียนออนไลน์ฟรี พื้นฐาน Bitcoins Cryptocurrency และ Blockchain

 

 

เครดิตที่มา Dev